โปรไฟล์ของคุณลุง
โปรไฟล์ของคุณลุง “แกดูคุณลุงคนนั้นดิ ฉันเห็นนั่งตรงนี้มาตั้งนานเลยว่ะ ท่าทางดูน่ากลัวมากเลย วันหลังเเกเดินกลับบ้านคนเดียวก็ระวังนะเว้ย”
“อุ๊ยน่ากลัวจริงด้วยอ่ะ ทำไงดีอ่ะฉันไม่กล้าเดินกลับบ้านคนเดียวแน่เลย คุณลุงเขาเป็นโจรป่ะเนี่ย”
วันหนึ่งฉันและเพื่อนสนิทเราสองคนเดินกลับบ้านด้วยกัน ซึ่งในความเป็นจริงเเล้วฉันต้องเดินกลับบ้านคนเดียว แต่บังเอิญว่าวันนั้นเพื่อนฉันอาศัยมานอนค้างที่บ้านด้วยเราก็เลยเดินกลับมาด้วยกัน ระหว่างทางฉันเจอคุณลุงคนนึง เขานั่งอยู่ตรงโต๊ะไม้ หน้าตาและท่าทางของคุณลุงคนนั้นดูน่ากลัวมากๆ ฉันไม่รู้ว่าคุณลุงไปนั่งทำอะไรตรงนั้น แล้วฉันเองก็ไม่คุ้นหน้าคุณลุงมาก่อน เพื่อนและฉันเราทั้งสองกลัวคุณลุงมาก ทำให้หลังจากวันนั้นฉันก็ไม่กล้าเดินกลับบ้านคนเดียวอีกเลย ฉันต้องโทรให้แม่มารับที่โรงเรียนตลอด เพราะฉันกลัวว่าคุณลุงเขาจะไม่ใช่คนดีและอาจมาทำร้ายฉันได้
“แม่ เย็นนี้ว่างไหมมารับหนูหน่อย”
“ว่างแต่ทำไมไม่กลับเอง ปกติก็เห็นเดินกลับเองตลอดโรงเรียนกับบ้านก็อยู่ห่างกันแค่นิดเดียว”
“นะแม่มารับหนูหน่อยนะ หนูไม่อยากเดินกลับคนเดียวจริงๆ”
“ก็ได้ ก็ได้ งั้นรอก่อนแป๊บนึงเดี๋ยวแม่ออกไปรับ”
ผ่านมาหลายสัปดาห์ฉันไม่เคยได้เดินกลับบ้านเอง ฉันไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมฉันถึงต้องรู้สึกกลัวขนาดนี้ทั้งๆที่ฉันยังไม่รู้จักคุณลุงเลยด้วยซ้ำ แต่ฉันก็คิดว่าการป้องกันตัวเองไว้ก่อนน่าจะสบายใจที่สุด เป็นเพราะว่าฉันไม่รู้จักคุณลุงฉันก็เลยต้องป้องกันตัวเอง การที่ฉันให้แม่มารับทุกวันแบบนี้มันอาจจะเป็นการรบกวนแม่ของฉัน แต่ฉันก็ไม่มีวิธีอื่นแล้วเพราะทางเข้าบ้านฉันมีแค่ทางเดียว ในตอนที่ฉันนั่งรถมอเตอร์ไซค์ขับผ่านลุงคนนั้น ฉันก็มองข้างทางแล้วเห็นว่าลุงก็ยังนั่งอยู่ตรงนั้นเหมือนเดิม ฉันอยากรู้สาเหตุมากว่าทำไมลุงถึงยังนั่งอยู่ตรงนั้น ลุงกำลังรอใครหรือเปล่าหรือว่าลุงมีธุระอะไรทำไมถึงต้องนั่งอยู่ตรงนั้นด้วย
“ยังเจอคุณลุงคนนั้นอยู่ไหม”
“เจอดิเจอทุกวันเลย นี่ให้แม่มารับทุกวันเลยนะเพราะไม่กล้าเดินกลับบ้านคนเดียว”
“จริงดิ แต่จะว่าไปหน้าตาคุณลุงเขาก็น่ากลัวจริงๆอ่ะ”
“ก็ใช่น่ะสิ จะเป็นโจรหรือเปล่าก็ไม่รู้หรือว่าดีไม่ดีเขาอาจจะเป็นพวกโรคจิตก็ได้นะ ฉันเห็นมาเยอะในโลกโซเชียล”
ในเย็นนี้ฉันก็ยังต้องโทรให้แม่มารับเหมือนเดิม แต่เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นเมื่อแม่ของฉันโทรมาบอกว่าแม่ฉันต้องเข้าไปทำงานที่บริษัทด่วน ไม่สามารถมารับฉันได้ ฉันจึงจำเป็นต้องเดินกลับบ้านคนเดียว
“ใครก็ได้เดินกลับบ้านเป็นเพื่อนหน่อยได้ไหม”
“จริงๆฉันก็อยากกลับเป็นเพื่อนเเกนะ แต่ว่าวันนี้พ่อกับแม่มารับก็เลยกลับเป็นเพื่อนไม่ได้”
“เเล้วฉันจะกลับบ้านกับใครอ่ะ แล้วถ้าสมมุติว่าคุณลุงเขาเป็นพวกโรคจิตขึ้นมาจริงๆฉันจะทำยังไง”
วันนั้นฉันต้องเดินกลับบ้านคนเดียวจริงๆภายในใจของฉันสั่นและหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก ฉันไม่รู้ว่าถ้าสมมติคุณลุงเขาเป็นโรคจิตแบบที่ฉันคิดขึ้นมาจริงๆฉันจะทำยังไง ฉันจะต่อสู้กับคุณลุงได้ไหมหรือว่าฉันต้องตะโกนให้คนมาช่วย ความคิดหลายอย่างในหัวมันตีกันไปหมด ระหว่างทางที่ฉันเดินกลับบ้านฉันก็เริ่มระแวงขึ้นเรื่อยๆฉันมองหน้ามองหลังอยู่ตลอดเวลา ฉันรู้สึกไม่ชอบคุณลุงคนนี้เอาซะเลยเพราะฉันเดินกลับบ้านของฉันอยู่ดีๆมาได้ตั้งนาน แต่พอเจอคุณลุงฉันกลับไม่กล้าเดินกลับบ้านเองซะงั้น พอฉันเริ่มเข้าใกล้โต๊ะไม้ที่คุณลุงนั่งขาของฉันก็สั่นฉันจึงหยุดเดินชั่วคราว
พอฉันหยุดเดินได้สักพัก ตอนนั้นฉันก็เห็นว่าคุณลุงจูงมือเด็กคนนึงกำลังจะข้ามถนน แล้วจู่ๆรถสิบล้อก็วิ่งมาด้วยความเร็วสูง ฉันตกใจมากเพราะภาพที่ฉันเห็นคือภาพของคุณลุงที่โดนรถสิบล้อชนจนร่างกระเด็น ภาพนั้นยังติดตาฉันทำให้ฉันไม่สามารถก้าวขาขยับไปไหนได้ หัวใจของฉันเต้นแรงราวกับว่ามันจะหยุดเต้น ในตอนนั้นฉันทำอะไรไม่ถูกแต่พอตั้งสติได้ฉันก็รีบวิ่งเข้าไปดูใกล้ๆ ในเวลาเดียวกันรถพยาบาลก็ขับมาพอดี เด็กคนนั้นที่คุณลุงจูงมือข้ามถนนก็ร้องไห้ ฉันจึงเดินเข้าไปถามว่าเกิดอะไรขึ้น
“หนูกำลังจะข้ามถนนค่ะ คุณลุงเขาเห็นเขาก็เลยอยากเข้ามาช่วย หนูไม่น่าให้คุณลุงเขาเข้ามาช่วยเลยที่คุณลุงต้องตายแบบนี้ก็เพราะหนู”
“แล้วหนูรู้จักคุณลุงคนนี้มาก่อนหรือเปล่า”
“หนูไม่เคยคุยกับคุณลุงค่ะ แต่หนูเคยเห็นลุงเข็นผักอยู่ในตลาด ลุงเขาน่าจะรับจ้างเข็นผักไปให้ร้านค้า”
พอฉันสืบไปสืบมามันก็ได้รู้ความจริงว่าคุณลุงทำอาชีพรับจ้างเข็นของขายในตลาด แล้วสาเหตุที่คุณลุงมานั่งอยู่ตรงนั้นก็เพราะว่าคุณลุงรอรับเงินค่าจ้างจากเจ้าของร้านผัก ฉันรู้สึกผิดมากที่ฉันตัดสินคุณลุงว่าคุณลุงเป็นโจรหรือเป็นพวกโรคจิตแต่ฉันไม่รู้จริงๆว่าคุณลุงจะเป็นคนใจดีชอบช่วยเหลือคนอื่น ฉันเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาก มันทำให้ฉันไม่สามารถหยุดคิดถึงภาพที่คุณลุงถูกรถชนได้
“แม่หนูผิดเองอ่ะ ที่หลังแม่ไม่ต้องมารับหนูแล้วนะหนูเดินกลับเองได้ หนูไม่เจอคุณลุงคนนั้นแล้วเพราะเขาตายแล้ว”
“อ้าวแล้วเขาตายได้ยังไง”
“เขาช่วยเหลือเด็กให้ข้ามถนน แต่ว่าเขาไม่ทันได้ระวังรถสิบล้อก็เลยพุ่งชนเข้าเต็มๆ”
“แสดงว่าเขาก็เป็นคนดีน่ะสิ แล้วไหนลูกบอกว่าเขาน่ากลัว เหมือนโจรหรือไม่ก็เป็นพวกโรคจิตไง”
“หนูผิดเอง หนูไม่น่าไปรีบตัดสินใครเลย”
จากเหตุการณ์ในครั้งนี้มันสอนให้ฉันได้รู้ว่า ทีหน้าทีหลังก่อนที่เราจะตัดสินใครเราควรจะคิดให้ดีก่อน จริงอยู่ว่าเราควรระวังตัวเองแต่ว่าการระวังตัวเองของเราไม่จำเป็นที่จะต้องไปตัดสินว่าใครเป็นคนดีหรือไม่ดี เมื่อเราเจอคนแปลกหน้าเราก็แค่ต้องออกห่างแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ในเมื่อเรายังไม่รู้จักเขาเราก็ไม่ควรไปตัดสินว่าเขาจะต้องเป็นคนยังไง เราไม่ควรมองใครแค่รูปลักษณ์ภายนอก ก็เหมือนหนังสือที่เราไม่ควรมองแค่หน้าปกแต่ควรเปิดอ่านเนื้อหาข้างในด้วย